วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จดหมายถึงพ่อแม่


กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพ
           แม่สบายดีนะครับ ป่านนี้ที่บ้านเราคงดังระงมไปด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไรคลอเคล้าไปกับบทเพลงแห่งสายฝนนะครับแม่ เจ้าต้นกล้าที่หว่านไว้ในแปลงเพาะ ตอนนี้คงถูกแม่จับพวกมันปักดำลงไปในแปลงนาจนเต็มท้องทุ่งนาเราแล้วสินะ  เหนื่อยไหมแม่?  เหนื่อยก็พักผ่อนบ้างนะ ลูกเป็นห่วง อันที่จริง ลูกอยากเดินทางไปบอกแม่ใกล้ๆ ด้วยตัวของลูกเอง แต่ภาระหน้าที่และเส้นทางอันยาวไกล จึงทำให้ลูกนั้นได้แต่เขียนถ้อยคำมาหาแม่เท่านั้น  
          ปีนี้แม่ก็อายุหกสิบแล้วสินะแม่นะ ลูกรู้สึกว่าเวลามันเดินผ่านหน้าเราไปเร็วเหลือเกิน เร็วเกินจนบางครั้งบางทีเราแทบตั้งตัวไม่ทัน กี่ปีแล้วนะแม่ ที่สองมือของแม่ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์ยาก กี่ปีที่แม่ทนสู้อุตส่าห์เลี้ยงพวกเราสี่พี่น้องตั้งแต่เล็กๆ จนเติบโต ตั้งแต่พ่อสิ้นใจไปเมื่ออายุเพิ่งสามสิบกว่าปี ดูเหมือนภาระทั้งหมดจะตกลงบนบ่าของแม่ทั้งหมด คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า "ขาดพ่อเหมือนทอหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก"  แต่แม่ก็พาประคองแพลำนี้ผ่านพ้นนาวาชีวิตช่วงนั้นมาได้ ตอนนี้ลูกๆ ของแม่คล้ายกับนกเจริญวัยที่มีปีกกล้าขาแข็งพอที่จะกระโจนออกจากคาคบโบกโบยบินไปสู่ฟ้ากว้าง แต่แม่ก็คือแม่ที่ยังห่วงใยลูกๆ ทุกคนสม่ำเสมอ
          แม่ครับ ถึงฟ้าจะกว้าง หนทางจะยาวไกลแค่ไหนหรือเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด ขอให้แม่รู้ไว้เถอะว่า ลูกๆ ของแม่ยังเป็นลูกที่ดีและเป็นห่วงแม่เสมอ คำสั่งสอนของแม่ คือ มรดกถ้อยคำอันประเสริฐของลูกๆ มิเคยลืมเลือนไปจากใจลูกได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงกล่อมลูกที่แม่เคยไกว่เปลพร้อมกับเห่กล่อมลูกเมื่อยังเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำผญาที่ทำให้ลูกได้คิดและมีกำลังใจ แม่เคยพูดสอนผมบ่อยๆ ว่า "คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั่งห่มเป็นพญา อย่าได้ลืมชาวนาผู้ขี่ควายคอนกล้า" ถ้อยคำเหล่านี้คล้ายดังเสาเข็มที่ตอกติดแน่นในจิตวิญญาณของผมแล้วครับแม่
         แม่ครับ เมื่อผมนึกถึงแม่ทีไร ภาพอดีตก็จะหวนกลับมาหาผมทุกที  มันเป็นภาพบ้านหลังเก่าที่พวกเราแม่ลูกอยู่อาศัยกันพร้อมหน้า บ้านหลังนั้นตีฝาด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะ หลังคาสังกะสีที่มีช่องระบายน้ำไหลอยู่กลางบ้านหลายรู (ผมยังจำตอนที่ผมปีนขึ้นไปบนขื่อเพื่อเอาตังเมไปอุดรูมันไว้ได้เลยครับแม่) เสาเรือนที่ทำด้วยไม้ทั้งต้นที่เหลือแต่แกนกลาง องศาบ้านทำมุมสี่สิบห้าองศาเหมือนกับบ้านข้างหนึ่งพิงกับกำแพงอากาศยังไงยังงั้นแหละ แต่ที่นั่นอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุขนะแม่ แม้บางครั้งบางทีพวกเราจะทะเลาะกันบ้าง แต่มันก็เป็นไปตามประสาพี่น้องท้องเดียวกัน ตอนนี้ภาพเหล่านั้นมันได้หายไปหมดแล้ว ไม่หลงเหลือแม้แต่เงาของอดีต บ้านเก่าถูกแทนที่ด้วยบ้านหลังใหม่ที่มั่นคงแข็งแรง  ลูกไม่ได้แก่ขึ้นนะแม่ จึงรำลึกถึงอดีตเหล่านี้ให้แม่ฟัง แต่ลูกอยากให้แม่รู้ว่า ลูกๆ ทุกคนยังรอวันที่จะโบยบินกลับไปสู่คาคบที่พวกเราได้จากมา กลับไปอยู่ดูแลแม่ กลับไปให้แม่อุ่นใจและหายห่วงหา อยู่เสมอนะแม่นะ
        "ความจนทำให้คนเป็นคนนะแม่นะ" ลูกหมายถึงครอบครัวของเรานะครับ แม่คงจำได้นะว่าครั้งหนึ่งที่ลูกกลับบ้าน คนข้างบ้านซึ่งเป็นแม่ของเพื่อนเก่าของลูก แม่เขาป่วยเป็นโรคเบาหวาน ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการ ไม่มีลูกคนใดสักคนของแกที่จะมาเฝ้าดูแลอยู่ใกล้ๆ  ตอนที่ผมซื้อผลไม้ไปเยี่ยมแก เห็นแต่คู่ชีวิตของแกเท่านั้น แกยังบ่นอย่างคนตรมใจกับผมว่าทำไมไม่เหมือนลูกๆ ของแม่ แล้วไม่นานแกก็จากไป ส่วนคู่ชีวิตของแกก็ปลงผมบวชหวังเอาร่มพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะที่พึ่งจากลูกๆ ของแกไม่มีแล้ว เหมือนกับน้ำบ่อสร้างที่เหือดแห้งไม่เหลือสักหยดพอให้ดื่มกิน เล่าแล้วเศร้าใจนะครับแม่ คงเป็นจริงอย่างคำเขาพูดเอาไว้นะครับแม่ ที่ว่า "แม่หนึ่งคนเลี้ยงลูกเป็นสิบๆ คนได้ แต่ลูกเป็นสิบๆ คน กลับเลี้ยงแม่คนเดี๋ยวไม่ได้" 
       แม่ไม่ต้องกังวลนะ ลูกขอสัญญาว่าจะดูแลและรักแม่ให้มากๆ ทำอย่างที่แม่ได้เฝ้าเลี้ยงดูพวกเรามาและเป็นห่วงเป็นใยพวกเรามาตลอด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ลูกอยากขอแม่ไว้ คือว่า ลูกอยากให้แม่ปล่อยวางภาระงานทางบ้านเถอะ ไม่ต้องเอาใจไปยุ่งกับมันแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่สาวเถอะ ลูกอยากให้แม่เข้าวัดฟังธรรม เจริญสติภาวนา เหมือนกับตอนที่ผมยังบวชเรียน ตอนนั้นแม่เข้าวัดตลอดเลย แม่ครับ พุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "บุตรคนใดที่ทำตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ด้วยการยกท่านทั้งสองขึ้นขี่บนบ่า ป้อนข้าว ป้อนน้ำโดยไม่ขาด แม้ให้ท่านขี้ ท่านเยี่ยวลงบนบ่าของตน บุตรเหล่านั้นก็ไม่ได้ชื่อว่า ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้หมดไปไม่" การที่บุตรคนใดชักจูงให้พ่อแม่ได้พบพระธรรมของพระศาสดา บุตรผู้นั้นได้ชื่อว่า "อภิชาตบุตร"
      แม่ครับ "ชีวิตของคนเรานั้น การเกิดเป็นมนุษย์นั้นทำได้ยากยิ่งแล้ว แต่การเกิดมาแล้ว ได้พบพุทธศาสนานั้น ยากยิ่งกว่า" ลูกจึงอยากให้แม่ทำตามคำขอของลูกด้วยนะ
       สุดท้ายนี้ ลูกขอเอาถ้อยคำของ "คุณประภาส ชลศรานนท์ ในหนังสือเรื่อง "เชือกกล้วยมัดต้นกล้วย หน้า 147-148  ที่ว่า
.
"หากจะมีใครเปรยเปรียบให้รักแห่งเธอ
ยิ่งใหญ่แม้นมหาสมุทร
จงอย่าให้ฉันสดับ.....
มิเช่นนั้น....ณ โขดหินอันระบือว่ามีคลื่นคลั่งโถมถั่งใส่
ฉันจะไปกล่าวค้านมหานที
ว่าน้ำทะเลยังมีลงมีขึ้น..แต่รักแห่งเธอนั้นมิเคยลด
และหากจะมีใครอุปมาให้รักในใจเธอใหญ่ยิ่งเฉกท้องฟ้า
ขอจงอย่าเอ่ยกับฉัน.....
ประภาคารอันสูงเสียดที่จะหาได้ในพิภพจะนำฉันป่ายปีน
ขึ้นไปถกกับท้องฟ้าว่านภายังมีราตรีหลับใหล
แต่รักแห่งเธอมิเคยพัก
ความรักอันเป็นธรรมชาติในเธอควรเปรียบกับสิ่งใดหรือ
ที่ฉันจะยอมได้
หากต้องประนีประนอม
ลองอ้างเอ่ยกลับกันให้สิ่งยิ่งใหญ่เหล่านั้น
ยิ่งใหญ่เพียงรักของเธอดู
เปรียบท้องฟ้าว่าใหญ่ดังรักของเธอ
อุปมามหาสุมทรว่ากว้างเท่ารักจากเธอ
ถ้าเป็นดังนี้....ฉันอาจจะยอมได้"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น